ighting Covid

5 มาตรการแก้ปัญหาเร่งด่วนสำหรับ SMEs… #RederSMEs

ข้อมูลจากกองบรรณาธิการ SMEThailandClub ได้เผยแพร่การให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คุณณัฐพล รังสิตพล เกี่ยวกับแผนระยะสั้นที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมขับเคลื่อนออกมาเพื่อช่วยเหลือ SMEs เร่งด่วนภายในระยะเวลา 60 วัน ภายใต้นโยบาย โควิด 2.0 พร้อมสู้-อยู่ได้-ไปรอด… ในสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในวิกฤตโควิดรอบกลางปี 2021

ท่านอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ข้อมูลว่า… จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ได้ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง โดยค่า GDP ไทยโตเพียง 1.0 เปอร์เซ็นต์ จากในไตรมาสแรกของปี 2564 ตัวเลขอยู่ที่ 2.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจาก –6.1% ในปี พ.ศ. 2563… ส่วนภาพรวมของ SMEs กว่า 3.1 ล้านรายในปี พ.ศ. 2564 ยังคงน่ากังวล เพราะส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว บริการ และกลุ่มค้าส่งค้าปลีก โดยจากข้อมูลสถิติพบว่า GDP SMEs ในปี พ.ศ. 2563 มีการปรับตัว –9.1% และประเมินว่าในปี พ.ศ. 2564 คาดว่าจะติดลบที่ –4.8%

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงได้เร่งทำแผนระยะสั้นออกมาเพื่อช่วยเหลือ SMEs เร่งด่วนภายในระยะเวลา 60 วัน ภายใต้แนวนโยบาย โควิด 2.0 “พร้อมสู้-อยู่ได้-ไปรอด” ผ่าน 5 มาตรการดังนี้

1. การจัดการโควิดภายในองค์กร

เพื่อสร้างสถานประกอบการปลอดเชื้อ โดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อป้องกันและรับมือกับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นแบบองค์รวม ใน 9 หัวข้อวิชา ตั้งแต่การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านอาชีวอนามัยและสุขอนามัย, การใช้เครื่องมือดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อลดความแออัด, การประยุกต์ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมในการบริหารจัดการให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ไปจนถึงการแชร์ประสบการณ์จากสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

2. การตลาดภายใต้โควิด

โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตลาดและการขยายตลาดในรูปแบบต่างๆ ประกอบไปด้วย

  1. การส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ภายใต้โครงการ DIProm Marketplace โดยสร้างช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคสามารถเข้ามาซื้อ-ขาย สินค้าและบริการดีๆ มีคุณภาพ
  2. การส่งเสริมด้านกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านการฝึกอบรม eLearning 26 หลักสูตร มุ่งเน้นการใช้ดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเคล็ดลับการเจาะลึกตลาดในอาเซียน เพื่อหาตลาดใหม่ให้กับธุรกิจ
  3. การช่วยเหลือด้านการขนส่ง ผ่านโครงการ “ดีพร้อมแพค: บรรจุภัณฑ์สร้างสรรค์วิถีใหม่” หรือ The Next Diprom Packaging: DipromPack เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และเพิ่มยอดขายให้แก่ผู้ประกอบการ
  4. แนวทางการตลาดร่วมเป็นคู่ค้ากับภาครัฐ ผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย
    4.1 การรับรอง Made in Thailand หรือ MiT)โดย ส.อ.ท.
    4.2 การขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอี Thai SME-GP ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. และ
    4.3 การขึ้นบัญชีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Thai GPP ของกรมควบคุมมลพิษ

3. เปลี่ยนค่าใช้จ่ายเป็นเงินทุน

ด้วยการให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง  ต้นทุนการขนส่งสินค้า และต้นทุนการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน  3 มิติ ได้แก่ ต้นทุน เวลา และความน่าเชื่อถือ ผ่านโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะให้แก่ผู้ประกอบการ

 4. สร้างเครือข่ายพันธมิตร

โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรให้แก่ผู้ประกอบการผ่านโครงการสำคัญต่างๆ อาทิ โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรและผู้แปรรูปโครงการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเพื่อปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่, โครงการเชื่อมโยงเครื่องจักรเพื่อแปรรูป หรือ i-Aid โครงการช่าวชุมชน เป็นต้น

5. ปรับโมเดลธุรกิจ

มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมในการดำเนินการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยการสร้างและพัฒนาผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม หรือ SP และ เสริมทักษะทางการเงิน หรือ Financial Literacy รวมถึงการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง หรือ Business Continuity Plan เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน

โดยคาดว่าจากทั้ง 5 มาตรการที่กล่าวไปนั้นจะสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้กว่า 8,000 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2564 จะสามารถช่วยส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการในภาคส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ ได้จำนวนรวม 3,356 กิจการ 11,955 ราย 982 ผลิตภัณฑ์

References…

Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest
Tumblr

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts