ใครก็ตามที่ไม่ใช่คนโลกสวยรวยธรรมะถึงขั้นจะไปนิพพานโดยลำพัง… ชีวิตก็คงจะยังมีอารมณ์ “รักโลภโกรธ” อยู่กับตัว ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นก็น่าจะขึ้นๆ ลงๆ ไปตามจังหวะชีวิตและประสบการณ์ โดยเฉพาะประสบการณ์ที่เกิดไปแล้ว หรือ ประสบการณ์ในอดีตที่เคยสร้างความโกรธฝังจำให้ไว้… เมื่อมีสิ่งกระตุ้นความรู้สึกโกรธแบบที่เคยโกรธปรากฏขึ้นอีกครั้ง… ความโกรธจากสาเหตุซ้ำๆ ก็จะเพิ่มขึ้นทับถมร่อยรอยประสบการณ์โกรธเดิม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพเสริมอารมณ์โกรธให้เห็นเป็นคนมีอารมณ์กรุ่นโกรธและขุ่นเคืองทุกอย่างที่ขวางหน้า… แทบจะตลอดเวลา
Kristen Fuller ผู้เชี่วชาญด้านสุขภาพจิตและผู้ก่อตั้ง GoldenStateofMinds.com อธิบายปรากฏการณ์ความโกรธในทางประสาทวิทยาไว้ว่า… ภายในสมองส่วนที่เป็นระบบลิมบิก หรือ Limbic System จะมีโครงสร้างเล็กๆ ที่เรียกว่าอมิกดาลา หรือ Amygdala ที่เป็นคลังเก็บความทรงจำทางอารมณ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบต่อปฏิกิริยา “Fight or Flight หรือ สู้หรือหนี” อันเป็นสมองส่วนที่เก็บและใช้สัญชาตญาณเพื่อการเอาตัวรอดตามธรรมชาติ… เมื่อเราถูกกระตุ้นจนรู้สึกโกรธ เราจะใช้สมองลิมบิกล้วนๆ โดยแทบจะไม่ได้ใช้ “สมองคิด” ในส่วนที่เรียกว่า Cortex เลย… ความโกรธในมุมมอง และ คำอธิบายแบบนี้จึงป่วยการที่จะเชื่อได้ว่าสามารถขัดเกลา หรือ แต่งเติมอารมณ์โกรธให้บางเบาได้ง่ายๆ เพราะปฏิกิริยาในโหมด Fight or Flight จะหลั่ง Adrenaline ออกมามากกว่าปกติเพื่อให้ Limbic System มีสารกระตุ้นมากพอที่จะ Fight or Flight ซึ่งจะเหลือเพียงกลไกการสนองตอบต่อ “อารมณ์โกรธ” ล้วนๆ ในนาทีนั้น… ความเชื่อในเรื่อง “ผู้เจริญแล้ว” ในหลายๆ ความเชื่อทางศาสนา และ หลากหลายวัฒนธรรมจึงต้องสอนให้ “หลีกเลี่ยง” ที่จะพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์โกรธจนเกินควบคุมเป็นส่วนใหญ่… เพราะข้อเท็จจริงโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในโหมดที่มีทางเลือกว่าจะ “ฟัดมันให้ตาย หรือว่า หนีมันให้ไกล” เพียงสองทางเลือกเท่านั้น… ย่อมไม่มีทางเลือกที่ 3 ให้ใช้การไต่ตรองเพื่อเป็นทางออกแน่ๆ
Kristen Fuller ระบุว่า… ความโกรธที่ฝังแน่นติดตัวคนๆ หนึ่งจะเป็น “ความขัดแย้ง” ในทัศนคติ และ ความรู้สึกที่สะสมเป็นประสบการณ์ด้านไม่ดีอยู่กับตัวโดยไม่เคยถูกแก้ไขปรับแต่งใดๆ มาก่อน โดยเฉพาะความโกรธที่มาจากความรู้สึกขุ่นเคืองโกรธแค้นเมื่อถูกดูหมิ่น หรือ ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม… ถูกคุกคาม หรือ ล่วงละเมิด ไปจนถึงการถูกทำร้าย… โดยเฉพาะความเครียดจนรู้สึกสิ้นหวัง ไร้เรี่ยวแรง และ วิตกกังวลสูง รวมทั้งภาวะป่วยทางจิตในหลายรูปแบบและสาเหตุ
ข่าวดีก็คือ… ความโกรธเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถ “แสดงออก” โดยไม่ทำลายสิ่งใดเมื่อต้อง “Fight or Flight” ก็ได้ ถึงแม้ว่าธรรมชาติของความโกรธ มักจะมาพร้อม “ความก้าวร้าว หรือ Aggressive” ในการจัดการสาเหตุที่ก่อความโกรธให้เสมอ… แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “พฤติกรรมก้าวร้าว” ไม่ได้เกิดคู่กับอารมณ์โกรธอย่างเดียวเสมอไปเท่านั้น และ พฤติกรรมก้าวร้าวในอุปนิสัยของคนๆ หนึ่งเป็นคนละเรื่องที่แยกส่วนกันชัดเจนกับโกรธ และ อารมณ์ฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
หลายความเชื่อ และ คำสอนที่รวมความก้าวร้าวไปใส่รวมเอาไว้ในโกรธ แล้วพูดถึงโกรธด้วยปรากฏการณ์ที่เกิด “ความเสียหายจากความก้าวร้าว” เมื่ออยู่ในโหมด Fight or Flight ในขณะที่สมองหลั่ง Adrenaline ออกมามากมายจนเกินควบคุม… จึงเป็นแนวคิดและความเชื่อที่ต้องระมัดระวัง เมื่อเหมารวมความก้าวร้าวกับความโกรธเป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะประเด็นที่ควรจะพูดถึงจริงๆ ไม่น่าจะใช่อารมณ์โกรธซึ่งจิตวิทยาของคนๆ หนึ่ง ได้ถูกบีบให้ไปถึงโหมด Fight or Flight ในภาวะที่สมองหยุดคิดหยุดไตร่ตรองไปแล้ว… แต่ควรจะพูดถึง “ความก้าวร้าว หรือ Aggressive” ที่อยู่ในอุปนิสัย และ พฤติกรรม รวมทั้งเล่ห์เหลี่ยมการซ่อนความก้าวร้าวเอาไว้ด้วยพฤติกรรมอื่นๆ ผ่านหน้าฉากที่เห็นชัดว่าเจตนาจริงคือ “ผลประโยชน์ที่จะได้เข้าตัวโดยละเมิดความเป็นธรรมของผู้อื่น” อย่างชัดเจน… ซึ่งความก้าวร้าวแฝงพฤติกรรมเหล่านี้ มักจะเป็นสาเหตุของความโกรธที่สมควรถูกพูดถึงให้มาก และ หาทางรักษาขัดเกลาด้วยเครื่องมือ และ แนวคิดที่รู้จักกันดีที่เรียกว่า… มารยาท เกียรติ และ จรรยาบรรณ
References…