Franchise

Franchising Model… โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ #RederSMEs

การคิดเริ่มทำธุรกิจใหม่ หรือ คิดอยากทำการค้าส่วนตัว โดยมีแต่ “ความอยาก กับ ความชอบ หรือ ความสนใจส่วนตัว” นั้น… หลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์ “ไปไม่รอด” ทั้งเจอกับตัวหรือเจอกับคนใกล้ตัวมาบ้าง ในขณะที่หลายคนก็สนใจโมเดลธุรกิจที่ตัวเองไม่มีความชำนาญ หรือ แม้แต่สนใจโมเดลธุรกิจที่สามารถ “ครอบครองทำเลก็สามารถทำกำไรได้” ไม่ยาก

ผมกำลังพูดถึงโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นโมเดลส่วนต่อขยายทางการตลาดของธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้ได้ชัดเจนจากการเพิ่มจำนวนสาขา ซึ่งโมเดลแฟรนไชส์ถือเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจเก่าแก่ ที่ยังใช้ได้ดีทั้งฝั่งคนพัฒนาแฟรนไชส์ขายสิทธิ์ และ คนซื้อสิทธิ์แฟรนไซส์มาทำการค้าของตัวเอง

ประวัติศาสตร์ธุรกิจแฟรนไชส์บันทึกไว้ว่า… ธุรกิจจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ หรือ Singer Sewing Machines โดย Singer Company ของ Isaac M. Singer ได้ริเริ่มใช้โมเดลแฟรนไชส์กับตัวแทนจำหน่าย มาตั้งแต่ปี 1850 แต่โมเดลแฟรนไชส์ของ Singer ถือว่าล้มเหลวจนกลายเป็นกรณีศึกษาของแฟรนไชส์ซอร์ หรือ Franchisor หรือ ผู้ขายสิทธิ์แฟรนไชส์ ที่ผลักดันยอดขายได้อย่างโดดเด่นแต่ไม่มีกำไรเท่าที่ควร ในขณะที่ตัวแทนจำหน่าย หรือ แฟรนไชส์ซี หรือ Franchisee กลับร่ำรวยกำไรโตแบบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ส่วนแฟรนไชส์ซีที่ทำกำไรจากการขายสินค้า Singer ไม่ได้ แต่กลับร่ำรวยจากการเอาสินค้าของคู่แข่งมาทำตลาดเสียมากกว่า

กรณีศึกษาสุดคลาสสิคอีกหนึ่งเรื่องคือแฟรนไชส์ร้าน McDonald’s ในยุคเริ่มต้น ซึ่ง Ray Kroc ผู้ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน McDonald’s จากสองพี่น้อง Richard และ Maurice McDonald มาขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ซึ่งก็ทำให้ Ray Kroc แทบจะหมดตัวจนแม้แต่ธนาคารก็กำลังจะยึดทุกอย่างที่เขามี หลังจากภรรยาขอหย่าไปก่อนหน้านั้น… กระทั่งพบกับ Harry Sonneborn ผู้เสนอให้ Ray Kroc ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แยกกับธุรกิจร้านอาหาร จนทำให้ McDonald’s กลายเป็นแฟรนไชส์แสนล้านดอลลาร์อย่างในปัจจุบัน

ที่ผมจะบอกก็คือ… แฟรนไชส์เป็นโมเดลธุรกิจที่ซับซ้อน และ มีรายละเอียดเฉพาะของโมเดลธุรกิจหลัก ที่จะนำมาพัฒนาเป็นแฟรนไชส์ หรือ ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์มาทำธุรกิจ โดยไม่ใส่ใจรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไม่ได้เลย

ในประเทศไทยเองก็มีกรณีศึกษาที่โด่งดังอย่างข้อพิพาทระหว่าง Pizza Hut กับ Pizza Company ซึ่งฝ่าย Pizza Company เดิมเคยซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ของ Pizza Hut มาขยายสาขาจนครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดมาแล้ว กระทั่งต้องต่อสัญญาสิทธิ์แฟรนไชส์ที่จะหมดอายุลง ก็เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคจนตกลงเป็นสัญญาใหม่ไม่ได้… และได้กลายเป็นคู่แข่งที่สุดแหลมคมในตลาด Pizza ในเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน

ในเบื้องต้นนี้… ไม่ว่าท่านกำลังจะซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์มาทำการค้า หรือ กำลังจะเอาธุรกิจการค้าที่กำลังไปได้ดีไปทำแฟรนไชส์… หรือ แม้แต่กำลังจะสร้างธุรกิจเพื่อขยายแบบแฟรนไชส์โดยตรงก็ตาม… ก่อนอื่นอยากให้ทุกท่านใส่ใจกับ “ข้อกฏหมาย” ที่เกี่ยวข้องกันก่อนเป็นเบื้องต้น โดยเฉพาะ…

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์… หมวดว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา โดยนำมาใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการเกิดสัญญา การแสดงเจตนาของคู่สัญญา การตีความสัญญา ผลของสัญญา การบอกเลิกสัญญา และการผิดสัญญา
  2. พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540… โดยสาระของสัญญาแฟรนไชส์ซึ่งมักจะเป็นสัญญาสำเร็จรูปที่แฟรนไชส์ซอร์ร่างไว้ก่อน และ เป็นผู้กำหนดเนื้อหาสาระของสัญญา หรือ ข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้เป็นการล่วงหน้า ทำให้คู่สัญญาสองฝ่าย “มีฐานะไม่เท่าเทียมกัน” เนื่องจากแฟรนไชส์ซีจะมีอำนาจในการเจรจาต่อรองน้อยกว่าแฟรนไชส์ซอร์… หากว่าข้อสัญญาดังกล่าวแฟรนไชส์ซอร์ได้เปรียบแฟรนไชส์ซีเกินสมควร ข้อสัญญาดังกล่าวถือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมได้ และ ในกรณีเช่นนี้… กฎหมายกำหนดให้สัญญามีผลใช้บังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรม และ พอสมควรแก่กรณีเท่านั้น
  3. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา… ในกรณีแฟรนไชส์ซอร์ประสงค์ที่จะให้แฟรนไชส์ซีสามารถใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้า หรือ บริการ  และ สิทธิบัตร… ก็จะต้องมีการจดทะเบียนสัญญา โดยส่วนที่แตกต่างกันระหว่างสัญญาแฟรนไชส์และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา คือ แฟรนไชส์ซีจะต้องจ่ายค่าตอบแทนในการใช้สิทธิ และ ค่าตอบแทนในการเข้าร่วมประกอบธุรกิจ… ส่วนสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้น ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ “อาจไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนก็ได้” ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของคู่สัญญา 
  4. พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545… การประกอบธุรกิจแฟรนไชส์เกี่ยวข้องกับความลับทางการค้าในแง่ที่ว่า ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในการประกอบธุรกิจ เช่น สูตรอาหารหรือเครื่องดื่ม คู่มือการปฏิบัติงาน และ รายชื่อลูกค้า อาจถือได้ว่าเป็นความลับทางการค้าของแฟรนไชส์ซอร์ที่จำเป็นจะต้องได้รับความคุ้มครอง… โดยแฟรนไชส์ซีจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลความลับหรือนำข้อมูลซึ่งเป็นความลับนั้น ไปใช้ในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับแฟรนไชส์ซอร์ ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิของแฟรนไชส์ซอร์ในเรื่องดังกล่าว แฟรนไชส์ซอร์ย่อมสามารถที่จะฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนและขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการกระทำเช่นว่านั้นได้
  5. พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560… การประกอบธุรกิจแฟรนไชส์จะยึดตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยทั้งแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีจะถูกควบคุม “มิให้มีการใช้วิธีการที่กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า อันถือว่าเป็นการผูกขาด หรือ การกระทำที่เป็นการใช้อำนาจเหนือตลาด เว้นแต่มีความจำเป็นและมีเหตุผลสมควร” โดยจะต้องขออนุญาตต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเสียก่อน… โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นข้อห้าม และ อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เช่น การกำหนดเงื่อนไขที่จํากัดสิทธิแฟรนไชส์ซี โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร… การกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมหลังทำสัญญา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร… การห้ามแฟรนไชส์ซีซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิต ผู้จำหน่ายหรือผู้ให้บริการรายอื่น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร… การห้ามแฟรนไชส์ซีขายลดราคาสินค้าที่เน่าเสียง่าย โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร… การกำหนดเงื่อนไขที่แตกต่างกันระหว่างแฟรนไชส์ซี โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และนำไปสู่การเลือกปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และ การกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ นอกเหนือจากการรักษาคุณภาพและมาตรฐานตามสัญญา
  6. กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจนั้นโดยตรง… ในกรณีที่สินค้าและบริการเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆ เช่น พระราชบัญญัติอาหาร… พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง หรือ พระราชบัญญัติยา ก็จะต้องมีเงื่อนไขการประกอบธุรกิจที่ไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

หลักๆ ที่เป็นจุดตายของโมเดลแฟรนไชส์จะเกี่ยวข้องกับกฎหมายประมาณนี้… ซึ่งประสบการณ์ส่วนตัวเคยเจอแฟรนไชส์ซอร์ที่ตั้งใจทำธุรกิจ แต่สุดท้ายขาดทุนและเสียหายจากความผิดพลาดบนข้อกฎหมายที่กลายเป็นช่องว่างที่ไม่ได้ใส่ใจตั้งแต่ต้น

โดยส่วนตัวจึงไม่ห่วงแฟรนไชส์ซีซึ่งซื้อสิทธิ์มาทำการค้าเท่าไหร่ เพราะการถูกแฟรนไชส์ซอร์เอาเปรียบจนเกินพอดีโดยไม่มีทางเลือกนั้นมีน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะพบแค่แฟรนไชส์ซอร์ไม่ทำตามสัญญาเรื่องการตลาดบ้าง เรื่องประกันยอดขายบ้าง และ อะไรที่โฆษณาไว้แต่ไม่ใส่ใจมากกว่า… ซึ่งส่วนใหญ่ก็มือใหม่ทั้งคู่และล้มเหลวไปด้วยกันในท้ายที่สุด เพราะต่างก็หวังจะ “หาเงินจากกันและกันโดยไม่สนใจลูกค้าตัวจริงมากกว่า”

ประเด็นเป็นแบบนี้คือ… การซื้อขายแฟรนไชส์ทำธุรกิจเป็นเรื่องของ “สัญญาทางธุรกิจ” ทั้งที่เป็นเอกสารสัญญา และ พันธสัญญาที่จะร่วมกันเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ… ความสำเร็จล้มเหลวของทั้งแฟรนไชส์ซอร์ และ แฟรนไชส์ซี จึงต้องร่วมมือกันทำธุรกิจให้มาก และ จัดการความสัมพันธ์ให้พร้อมสำหรับลูกค้าและการแข่งขัน

ส่วนท่านที่กำลังจะปรับธุรกิจไปเป็นแฟรนไชส์ซอร์ หรือ สร้างธุรกิจเพื่อเป็นแฟรนไชส์ซอร์ตั้งแต่ Day One… คำแนะนำจากผมให้เริ่มต้นที่ “รอบคอบให้มาก” และให้ตั้งธงเริ่มต้นที่ “กินแบ่ง” เพื่อเติบโตไปพร้อมกัน… ส่วนท่านที่มองหาแฟรนไชส์มาเติมเต็มชีวิต หรือ เอามาแก้ปัญหาชีวิตก็แล้วแต่… รอบคอบให้มาก และ มองหาแฟรนไชส์ซอร์ที่กินแบ่งกับเราให้เจอ

References…

Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest
Tumblr

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts