การทำงานในองค์กรซึ่งสมาชิกทีมมักจะต้อง “มาทำงานร่วมกัน” โดยแต่ละคนจะรับผิดชอบหน้าที่หลักของตน อันเป็นงานที่มักจะ “วนซ้ำ” ไปพร้อมๆ กับงานของเพื่อนร่วมทีม ที่จำเป็นจะต้อง “สื่อสารกัน… ช่วยเหลือกัน และ แบ่งปันกันอย่างใกล้ชิด” ถึงขั้นจำเป็นต้องมาใช้พื้นที่ “ที่ทำงาน” เดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร… แต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ การปฏิวัติดิจิทัล ซึ่งได้ยกระดับ “การสื่อสาร” ไปใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั้งหมดจนได้เห็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม หรือ Culture Change หลายอย่าง… โดยเฉพาะวัฒนธรรมการปฏิสัมพันธ์ และ การสื่อสารระหว่างกันของผู้คนผ่าน “เครือข่ายข้อมูลดิจิทัลไร้สายความเร็วสูง” ที่รู้จักกันในชื่ออินเตอร์เน็ต กับ 4G และ 5G…
กล่าวเฉพาะวัฒนธรรมการสื่อสารยุคดิจิทัลในมิติของการทำงานร่วมกัน… โดยวัฒนธรรมการสื่อสารนับตั้งแต่ยุค 4G เป็นต้นมา ซึ่งได้ถูกประยุกต์ใช้เพื่อการทำงานในยุค Hybrid Working หรือ ยุคของการทำงานร่วมกันของสมาชิกทีมแบบประสม ระหว่างการไปทำงานแบบ On-Site ในที่ทำงาน และ การทำงานทางไกลแบบ Online ซึ่งจะ “วนซ้ำ” ผสมกันไปอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็น “การสื่อสารกันระหว่างกัน หรือ การช่วยเหลือกันสะสางงานให้เสร็จ และ การแบ่งปันข้อมูลแบบต่างๆ ที่ถูกแปลงให้เป็นข้อมูลดิจิทัล” ซึ่งรับ–ส่งให้กันระหว่างทีมได้ง่ายๆ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่สามารถเข้าถึง หรือ Access ได้จากอุปกรณ์การสื่อสารข้อมูลทุกรูปแบบ… แต่ปัญหาของปฏิสัมพันธ์ และ การสื่อสารแบบ Hybrid Working ในทางปฏิบัติก็ไม่ได้สวยงามราบรื่นตามแนวคิดและหลักการเชิงอุดมคติแต่อย่างใด… ถึงข้อดีจะมีเยอะ แต่ข้อเสียก็มีมากไม่ต่างกันกับการทำงานแบบ On-Site ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียพอๆ กัน
บรรยากาศการทำงานแบบ Hybrid Working ตอนเช้า แต่ก็ต้องวิ่งหน้าตั้งมา On-Site Working ตอนบ่ายเพราะมีเอกสารต้องลงนาม และ เหตุผลร้อยแปดที่สุดท้ายแล้วก็ต้องมาทำงาน ณ ที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่… ซึ่งหลายองค์กรล้มเหลวในการทำ Hybrid Working ที่เคยจริงจังแข็งขันในช่วงวิกฤตโควิด โดยกลับไป On-Site Working เหมือนดังเดิมมากมาย
Michael Norring ในฐานะ CEO ของ GCS IT ซึ่งเชี่ยวชาญการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทำงานแบบ Agile… อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการปรับองค์กรให้สามารถทำงานแบบประสม หรือ Hybrid Working ได้อย่างราบรื่นยั่งยืน… โดยคำแนะนำของ Michael Norring เกี่ยวกับ Remote Working และ Hybrid Working ในระดับหลักการระบุว่า… การทำงานทางไกล และ การทำงานแบบประสมต้องการพลวัตรด้านการสื่อสารแบบเรียลไทม์ที่รองรับการสะสางปัญหาในงาน และ ในการประสานงานบนโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถ “วนซ้ำ” การร่วมงานกันของทีมได้อย่างกลมกลืน โดยมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ Agile ที่เข้มแข็งรองรับ… ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการทำงานแบบ Agile Culture ที่สามารถ “วนซ้ำ” การประสานงาน และ การสะสางปัญหาร่วมกันของทีมอย่างราบรื่นด้วย… โดยทั้งหมดต้องการโครงสร้างพื้นฐานขั้นต่ำดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย คือ…
- Digital Workspace หรือ พื้นที่ทำงานดิจิทัล… ซึ่งจะเป็น “แพลตฟอร์มการสื่อสาร” ภายในทีมด้วยทรัพยากรดิจิทัล โดยจะมาทดแทนการใช้แฟ้มงาน และ เอกสารกระดาษแบบที่เคยหาได้ครบๆ จากจากตู้เอกสาร ณ ที่ทำงานแห่งเดียวนั่นเอง
- Heightened Security Virtual Desktop Infrastructure หรือ มาตรการความปลอดภัยสำหรับโครงสร้างเดสก์ท็อปเสมือน… ซึ่งเป็น “ระบบการประสานงาน” ที่ต้องออกแบบให้ปลอดภัยจากการคุกคามทางไซเบอร์ รวมทั้งการรั่วไหลของชั้นความลับของข้อมูล และ เอกสารที่ต้องแบ่งแยก “สิทธิ์” ในการเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรที่สมาชิกทีมแต่ละคนเข้าถึงได้ รวมทั้งความรับผิดชอบร่วมกันต่อทรัพย์สินดิจิทัลขององค์กรทั้งที่ตนเกี่ยวข้องโดยตรง และ เพื่อนร่วมงานรับผิดชอบอยู่… รวมทั้งมาตรการความปลอดภัยที่ถูกกำกับดูแลโดย “ผู้ดูแลระบบ” ที่จำเป็นต้องวางโครงสร้างให้เกิด “ความเสียหายเพียงจำกัด” หากเกิดการคุกคามทางไซเบอร์จากภายนอก และ การทุจริตทางดิจิทัลทั้งจากภายนอกและภายใน
- Flexibility Hybrid Cloud หรือ ใช้งานคลาวด์ไฮบริดแบบยืดหยุ่น… เพื่อให้มีพื้นที่ข้อมูลดิจิทัลสำหรับการทำงานร่วมกับทั้งแบบทางไกล และหรือ แบบประสม ที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับ “ปริมาณงานปัจจุบัน” ซึ่งจะเกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุนโดยไม่รบกวนประสิทธิภาพการทำงานบน VDI หรือ Virtual Desktop Infrastructure ของสมาชิกทีม
- Continuous Delivery Infrastructure หรือ การแจกจ่ายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องทั่วถึง… ซึ่งเป็นแนวคิดในการ “ให้เครื่องมือที่ดีที่สุด ได้ไปอยู่ในมือของคนที่ใช้มันได้ดีที่สุด” โดยเครื่องมือดิจิทัล และหรือ ทรัพยากรดิจิทัลควรถูกส่งมอบให้คนที่นำมันไปใช้ให้เกิดคุณค่าได้มากกว่าโดยเร็ว โดยเฉพาะในทีม หรือ องค์กรที่มีวัฒนธรรมการทำงานด้วย “ความสามารถในการทำนาย หรือ Predictability” ถึงความสำเร็จล้มเหลวในฉากทัศน์ลำดับถัดไปได้เร็ว และ ปรับเปลี่ยนได้เร็ว… ก็มักจะมีการ “แบ่งปัน” เครื่องมือดิจิทัล และหรือ ทรัพยากรดิจิทัลด้วยความรวดเร็วตามกันด้วยเสมอ
ประเด็นก็คือ… หากต้องการให้องค์กรสามารถ ทำงานแบบประสม หรือ Hybrid Working ได้ดีถึงขั้นกลายเป็นวัฒนธรรมการทำงานหลักขององค์กร ซึ่งมีข้อดีมากมายอย่างชัดเจนในยุคที่อินเตอร์เน็ตเร็วมากพอ และ เชื่อถือได้มากพอทั้งบนเครือข่ายไฟเบอร์ออฟติก และ เครือข่ายไร้สายความเร็วสูง… แต่ก็ต้องแลกด้วยการปฏิรูปองค์กรด้วยการเดินหน้าบนเส้นทางดิจิทัล และ หาทางสร้าง Agile Infrastructure ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปพร้อมๆ กับวัฒนธรรมองค์กรที่ต้อง “เคลื่อนให้คล่อง” มากพอที่จะตามทันการเปลี่ยนแปลง… หรือดีกว่านั้นด้วยการนำหน้าการเปลี่ยนแปลงจนยากที่ใครจะตามทัน!
References…