Impoliteness

Impoliteness… ไม่สุภาพหยาบคาย #SelfInsight

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ร่วมกับผู้อื่น อันเป็นข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาของเผ่าพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะบริบทที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์คนอื่นของมนุษย์ทุกคน เป็นความอยู่รอดเป็นตายมาตั้งแต่เผ่าพันธ์มนุษย์ยังไม่มีสติปัญญาและเทคโนโลยีเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธ์อื่นๆ บนโลกมากนัก มนุษย์จึงสร้างสายสัมพันธ์เพื่อปกป้องดูแลและแบ่งปันหลายอย่างระหว่างกัน จนวิวัฒน์มาเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนผ่านที่มาที่ไประดับปัจเจก ซึ่งงดงามในความไม่เหมือนและยุ่งเหยิงเพราะความแตกต่าง

ในปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน… มนุษย์มีความหลากหลายทางพฤติกรรมที่ปฏิบัติต่อกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการปฏิสัมพันธ์กันด้วยภาษาสื่อสาร… ทั้งที่เป็นวัจนภาษา หรือ Verbal Language และ อวัจนภาษา หรือ Nonverbal Language ซึ่งเป็นวิธีสื่อสารพื้นฐานที่มนุษย์ใช้เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างกัน

ประเด็นก็คือ… มนุษย์ใช้ภาษาทั้งสองแบบเพื่อสื่อความสิ่งที่คิด ประเด็นที่เข้าใจ และ ความหมายที่รู้สึก ซึ่ง “ความ หรือ ความหมาย” ทั้งหมดที่แปรเป็นภาษาเพื่อสื่อสาร ล้วนผ่านขั้นตอนทางสติปัญญา หรือไม่ก็ผ่านขั้นตอนทางอารมณ์ความรู้สึก หรือหนักหน่อยก็ผ่านสัญชาตญาณในตัวก่อนจะถ่ายทอดออกไปเสมอ… ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือ ผ่านทุกทางพร้อมๆ กัน

ในทางเทคนิค… ธรรมชาติของการสื่อสารก็จะมีความบกพร่องคาดเคลื่อนของ “ความ หรือ ความหมาย” ที่สื่ออกไปจากอีกฝ่ายที่เป็นผู้ส่งสาร ซึ่ง “ความ หรือ ความหมาย” ในฝั่งผู้รับสาร อาจจะสำเนาความหมายได้ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือ อาจผิดพลาดไขว่เขวแบบพูดคนละเรื่อง และ เข้าใจคนละประเด็น เข้าข่ายถาม “ไปไหนมา?” ตอบ “สามวาสองศอก” นั่นเอง

แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ… ปฏิสัมพันธ์ที่นอกจากจะผิดพลาดใน “ความ หรือ ความหมาย” ตามที่ต้องการแล้ว บ่อยครั้ง “มีการตีความภาษา” ที่ใช้ปฏิสัมพันธ์ต่อกัน จนความพยายามในการสื่อความระหว่างกันในวัตถุประสงค์แรก ถูกข้ามเลยไปปฏิสัมพันธ์ด้วยประเด็นสดใหม่กว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือ ทั้งสองฝ่าย… ตีความขึ้นใหม่ในระหว่างปฏิสัมพันธ์กัน… ซึ่งส่วนใหญ่จะตีความผ่านความกลัว หรือไม่ก็ตีความด้วยดุลพินิจจากความหวาดระแวงกันและกัน จนกลายเป็นข้อสรุปเชิงลบต่อปฏิสัมพันธ์ กลายเป็นหายนะในสายสัมพันธ์ เห็นเป็นความขัดแย้งระดับต่างๆ ทั่วไป

ในทางจิตวิทยา… การตีความภาษา โดยเฉพาะอวัจนภาษาที่ใช้สื่อสารกันด้วยนิยามของฝ่ายผู้รับสารล้วนๆ โดยไม่สนใจนิยามที่แท้ของอีกฝ่าย ซึ่งอาจจะมี “ถ้อยความ หรือ ความหมาย” ที่ไม่ได้แฝงเจตนาให้เกิดการตีความทางภาษาในเชิงลบ โดยเฉพาะเชิงลบในขั้นหมิ่นทำลายเกียรติ หรือ ริดรอนทำลายสิทธิ์ของผู้รับสาร… ซึ่งในประเด็นทำนองนี้จะเป็นความเข้าใจผิดในความหมายของเนื้อความ หรือ ความหมายของเนื้อสาร โดยขาดเจตนาหมิ่นทำลายเกียรติ หรือ ละเมิดสิทธิ์ของผู้รับสาร… แต่ก็ถือว่าคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี

ส่วนการใช้ภาษาเพื่อ “สื่อความ หรือ แฝงความหมายเชิงลบ” โดยมุ่งหมิ่นทำลายเกียรติ หรือ ละเมิดสิทธิ์ของผู้รับสารโดยหวังผล… ในทางเทคนิคจะไม่ถือว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ผิดพลาดใน “ความ หรือ ความหมาย” ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้รับสาร รับรู้ได้ถึงการสื่อสารที่มุ่งหมิ่นทำลายเกียรติ หรือ ละเมิดสิทธิ์ตนตรงตามวัตถุประสงค์

‪Professor Jonathan Culpeper‬ จาก Lancaster University เคยตีพิมพ์ผลงานหลายชิ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1990 ที่พูดถึง Impoliteness หรือ ความไม่สุภาพ และ Linguistic Impoliteness หรือ ภาษาไม่สุภาพ ซึ่งความไม่สุภาพทางภาษาจะเป็นกลยุทธ์การสื่อสาร ที่ใช้เพื่อมุ่งทำให้ผู้รับสารเสียหน้า หรือ ริดรอนสิทธิ์อันเป็นภาพลักษณ์และเกียรติที่มีต่อสังคมของอีกฝ่าย และ นำมาซึ่งข้อพิพาทและความแตกแยกระหว่างกัน…

ผลงานตีพิมพ์ของ ดร.นภัทร อังกูรสินธนา เรื่อง กลวิธีความไม่สุภาพทางภาษาในภาษาไทย ได้สรุปกลยุทธ์และวิธีการสื่อสารด้วยภาษาในแบบ ใช้ภาษาไม่สุภาพ หรือ Linguistic Impoliteness ประกอบด้วย

  1. การใช้คำอุทานแสดงอารมณ์ความรู้สึกเชิงลบ 
  2. การใช้คำลงท้ายที่ไม่สุภาพ 
  3. การใช้คำต้องห้าม 
  4. การใช้คำที่มีความหมายทางลบ 
  5. การกล่าวถ้อยคำที่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพ 
  6. การกล่าวถ้อยคำที่มีเนื้อความเกี่ยวกับข้อบกพร่องของผู้ฟัง 
  7. การไม่ยอมรับ 
  8. การทำให้กลัว 
  9. การใช้วัจนกรรมการสั่ง 
  10. การประชดประชัน
  11. การท้าทาย
  12. การระงับความสุภาพ

ถึงตรงนี้… “ความ” ที่พอสรุปได้ในประเด็นความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของมนุษย์อันเริ่มต้นจาก “ความไม่สุภาพจากการประเมินถ้อยความ ทั้งจากวัจนภาษาและอวัจนภาษาที่ใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน” ซึ่งไม่ว่าจะปฏิสัมพันธ์ให้ขัดแย้งด้วยด้วยเจตนา หรือ ไม่เจตนา… ด้วยความกลัวและกังวลหวั่นไหว หรือ หยิ่งยโสและอวดดี… ด้วยความโง่เขลา หรือ ร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม… แต่ถ้าถ้อยความในสารที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ทำลายเกียรติ หรือ ละเมิดสิทธิ์ระหว่างกันไปแล้ว… สถานการณ์ความสัมพันธ์ต่อจากนั้นคงไม่ง่ายอีกต่อไป ถึงแม้ว่าทุกฝ่ายจะมีเหตุผล “ข้ออ้างที่ฟังดูชอบธรรมให้ตนเอง” ขนาดไหนก็ตาม

เพราะความไม่สุภาพระดับเกินขีดการยอมรับระหว่างกันได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว!

References…

Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest
Tumblr

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts