หลายท่านหรือส่วนใหญ่ คงเคยได้ยินคำฮิตอย่าง Blockchain และ Bitcoin มาแล้ว… สำหรับท่านที่ทราบดีอยู่แล้ว วันนี้ขออนุญาตหาบมะพร้าวผ่านสวนท่านน๊ะครับ…
หรือจะลองอ่านข้อมูลและมุมมองจากผมอีกรอบก็ยินดี… ยิ่งสละเวลาชี้แนะ แลกเปลี่ยน เพิ่มเติมให้ผมหรือผู้อ่านท่านอื่น ได้เปิดโลกทัศน์ จะยิ่งขอบพระคุณอย่างสูงครับ
ผมพูดถึง Blockchain เพื่อจะต่อยอดไปถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่กำลังจะฏิวัติวงการอินเตอร์เน็ตอีกครั้งหนึ่ง… ในเร็วๆ นี้
ก่อนอื่นผมขอตั้งคำถามกับทุกท่านก่อนว่า ท่านเริ่มใช้ Line และ Facebook มานานหรือยังครับ?
ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะใช้งาน Line มาไม่เกินสี่ห้าปีมานี้ แม้กระทั่ง Facebook เองผมก็เชื่อว่า หลายๆ ท่านน่าจะใช้งานมาน้อยกว่าสิบปีอย่างแน่นอน
ที่จะบอกก็คือว่า… แอพพลิเคชั่นโซเชียลยอดฮิตทั้งสองตัว ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเรามากมาย… เทคโนโลยีเหล่านี้เชื่อมโยงพวกเราที่อยู่ไกลกัน ให้สามารถสื่อสารถึงกันได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้วขยับ

แต่เดี๋ยวก่อน… ถ้าเราถอยกลับมาพิจารณาอย่างจริงจัง ท่านจะทราบว่า เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือให้เราได้ใกล้ชิดและเกาะกลุ่มเป็นสังคม โดยมีอินเตอร์เน็ต เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญ… ซึ่งแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ ได้สร้างขึ้นบน Infrastructure หลักคือเครือข่ายอินเตอร์เน็ต… ซึ่งตัวเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเองก็มีมาตรฐานการสื่อสารข้อมูลหลายแบบ ประกอบกันขึ้นเพื่อให้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีความสามารถในการสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้ใช้งาน จนเกิดธุรกรรมมากมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่กิจกรรมส่งสติกเกอร์จนถึงโอนเงินให้กัน
ตัวมาตรฐานการสื่อสารข้อมูลที่ว่านี้ คนส่วนใหญ่ไม่ต้องเข้าใจหรือสนใจก็ได้ครับ แต่ในทางเทคนิค มาตรฐานที่ว่า มีความสำคัญอย่างมากในการรับส่งข้อมูลที่ต้นทางกับปลายทาง ต้องได้ข้อมูลหรือสารถูกต้องตรงกัน… เช่น ผมส่งสติกเกอร์รูปหัวใจไป ปลายทางก็ต้องได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจเช่นกัน… ตรงนี้หมายถึงข้อมูลต้นทางและปลายทางมีการรับและส่งด้วยภาษาเดียวกัน บนมาตรฐานเดียวกัน
ในอินเตอร์เน็ตเราเรียกตรงนี้ว่า Protocol ครับ!
ในอินเตอร์เน็ตจึงมี Protocol มากมายให้ใช้รับส่งและสื่อสารข้อมูล… ถ้าท่านส่ง email หาใครซักคน ท่านกำลังใช้งาน SMTP หรือ Simple Mail Transfer Protocol อยู่ครับ… ถ้าท่านเปิดเวบ Google.com ในทางเทคนิค ท่านกำลังใช้งาน TCP/IP หรือ Transmission Control Protocol / Internet Protocol
ซึ่งเวบเพจที่ท่านอ่านได้ เห็นรูปภาพและดูวิดีโอก็ได้ เป็นการสำเนาข้อมูลที่ว่า จากคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในโลกใบนี้ ที่เชื่อมกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มาให้ท่านได้เห็นอีกหนึ่งสำเนาผ่าน Protocol เหล่านี้นั่นเอง
ประเด็นอยู่ตรงสำเนาข้อมูลนี่แหละครับ… เพราะเวบเพจที่สำเนาข้อมูลมาให้ท่านได้ ก็สามารถสำเนาข้อมูลไปให้คนทุกคนที่เปิดเวบเพจเดียวกับท่านได้เช่นกัน… อินเตอร์เน็ตจึงเป็นช่องทางการสื่อสารที่ทรงพลังกว่าเครื่องมือสื่อสารใดๆ ที่มนุษย์เคยมีและเคยใช้มาก่อน… และมนุษย์ก็สร้างเครื่องมือมากมายขึ้นมาอำนวยความสะดวก หรือแก้ปัญหาต่างๆ โดยมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เรามี Line มี Facebook มี Internet Banking ใช้งานติดตัวทุกคน
กรณีของ Internet Banking ต่างออกไปจากการส่งสติกเกอร์ในไลน์ หรือการโพสต์ข่าวแบ่งกันอ่านบน Facebook เพราะ Internet Banking เป็นการทำธุรกรรมที่มี “มูลค่า” ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
การทำรายการเดินบัญชีบน Internet Banking ในปัจจุบัน เป็นเพียงแค่การลงบัญชีรับจ่าย ที่ธนาคารเอาธุระเรื่องนี้ มาให้เราทำเองเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรใหม่นอกจากพัฒนาเครื่องมือและช่องทางเป็นแอพพลิเคชั่นขึ้นมา แล้วแนะนำให้ลูกค้าธนาคารเอาไปใช้… ซึ่งก็แก้ปัญหาหลายอย่างที่เคยมีมา และสร้างปัญหาให้หลายๆ ท่านที่ทำงานกับธนาคารจนถูกเลิกจ้างก็มีให้เห็นมากมาย
แต่แค่นั้นยังไม่พอหรอกครับ… เทคโนโลยีที่กำลังไล่ Disrupted ภาคการเงินการธนาคาร ไม่ได้จบลงที่เอาแอพพลิเคชั่นมาทำงานแทนคน… เพราะธนาคารก็ยังเป็นธนาคารอยู่ และมีคอขวดในเส้นทางมากมายในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ กับธนาคาร… เทคโนโลยีอย่าง Blockchian จึงเกิดขึ้น เพื่อ Disrupted ภาคการเงินการธนาคารอย่างสิ้นเชิงขึ้น
ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วนับตั้งแต่ Satoshi Nakamoto พัฒนา Bitcoin ขึ้นมาและทำงานบน Blockchain อย่างสมบูรณ์แบบในปี 2008… ผ่านมาเพียงสิบปี พัฒนาการของ Blockchain ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงมากมาย และกำลังจะนำเราไปสู่ การใช้งานอินเตอร์เน็ต ที่สามารถ “โอนมูลค่า” ระหว่างกันที่เรียกว่า Peer-to-Peer Payments หรือ Peer-Based Transactions เกิดขึ้นได้จริง และจะเปลี่ยนการเดินบัญชีรับจ่ายแบบหักตัวเลขรายจ่ายไปไว้รายรับอย่างที่ธนาคารใช้อยู่… ไปตลอดกาล

ท่านลองนึกภาพการส่งภาพหากันในแอพพลิเคชั่นไลน์น๊ะครับ… ท่านส่งภาพดอกไม้ให้เพื่อนไปแล้ว เพื่อนท่านจะมีภาพดอกไม้หนึ่งสำเนา ในขณะที่ท่านก็ยังมีภาพดอกไม้ภาพเดียวกันอีกหนึ่งสำเนา… ตรงนี้คือการรับส่งข้อมูลด้วย TCP/IP ซึ่งความสามารถในการสำเนาข้อมูลไม่จำกัด เป็นความโดดเด่นที่สร้างคุณูปการมากมาย… แต่การส่งเงินหรืออะไรก็ตามที่มีมูลค่า จะไม่สามารถใช้การสำเนาแบ่งกันได้… เพราะถ้าผมส่งเงินให้ท่าน แล้วผมยังมีสำเนาเงินก้อนเดียวกันใช้อยู่ ที่ท่านได้ไปหรือที่ผมถืออยู่ คงเรียกว่าเงินไม่ได้… Blockchain ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหา Double Spending แบบนี้แหละครับ… บนโครงสร้าง Blockchain อะไรที่ผมส่งออกไปให้ใครก็ตาม ผมจะไม่มีสำเนาอยู่ที่ตัวเอง และธุรกรรมที่เกิดขึ้น จะถูกบันทึกลง Blockchain เหมือนการพิมพ์ Bank Statement ที่ทุกคนบน Blockchain เดียวกัน ใช้เล่มบัญชีเดียวกัน พิมพ์รายการเดินบัญชีต่อกันเป็นโซ่ยาวไม่มีที่สิ้นสุด
โซ่ข้อมูลชุดนี้แหละครับเรียกว่า Blockchain และกลายเป็น Internet Protocol อีกหนึ่งมาตรฐานที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้คนไปตลอดกาล