ข่าวน้ำทะเลหนุนสูงเข้าท่วมนครเวนิสที่มีรายงานว่า กินพื้นที่มากถึง 75% ของเมืองเก่าแก่ในอิตาลีแห่งนี้… มีรายงานว่าเฉพาะวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมาวันเดียว ระดับน้ำในเมืองเวนิสบางพื้นที่สูงกว่า 1.6 เมตร แต่นั่นยังไม่เท่าระดับน้ำในวันที่ 12 พฤศจิกายนก่อนหน้านั้นห้าวัน ที่ระดับน้ำขึ้นไปสูงสุดในรอบ 53 ปี ที่ 1.87 เมตร… เรียกว่ามิดน้ำกันทั้งเมืองทีเดียว



ประเด็นก็คือ… ระดับน้ำเกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่แปรผันตามการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ซึ่งทางการอิตาลีพบแนวโน้มที่จะเกิดน้ำท่วมในอีกหลายเมือง รวมทั้งฟลอเรนซ์และปีซ่าด้วย
มีรายงานวิจัยหัวข้อ Intergovernmental Panel on Climate Change โดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งโมนาโค ได้ศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ปี 2015 ด้วยทุนสนับสนุนจากเจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 และรัฐบาลโมนาโก
งานวิจัยได้ทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่มากมายตลอด 3 ปีมานี้เกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อท้องทะเล ขั้วโลก และธารน้ำแข็งร่วมกันการทำงานเชิงวิทยาศาสตร์กับนักวิทยาศาสตร์ในโมนาโค… และจัดทำรายงานขึ้น
รายงานฉบับนี้ได้แกะรอยกระแสน้ำที่ไหลลงจากยอดเขาที่เป็นน้ำแข็งลงสู่ทะเล และการที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

Credit image: ROBERTH82
และรายงานดังกล่าวได้ออกเผยแพร่ในช่วงกันยายนที่ผ่านมาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเวนิสจะถูกน้ำทะเลหนุนสูงเข้าท่วมจนคนทั้งเมืองที่อยู่กับน้ำมาหลายชั่วอายุคน… รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณตรงกันว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
ที่สำคัญกว่านั้น… รายงานการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากโมนาโคยังพูดถึง น้ำทะเลที่มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น รวมทั้งเชื้อโรคที่เคยถูกแช่แข็งไว้ที่ขั้วโลกมานาน กำลังกลับคืนท้องทะเลอีกครั้ง
เรื่องโลกร้อนกับก๊าซเรือนกระจก คงไม่มีอะไรที่ผมอยากเขียนเพิ่มหรือพูดซ้ำ… นอกจากจะเสนอมุมคิดแบบผมที่มองว่า ดาวสีฟ้าลำดับที่สามของสุริยะจักรวาลหรือ Earth Planet แห่งนี้คือดาวของน้ำครับ…
เกือบสามสิบปีมาแล้วผมเคยได้ยินคำพูดว่า “น้ำจะบอกอะไรเราเสมอ” จากปากชาวประมงที่เกาะปันหยีมาก่อน
แต่สิ่งที่ต้องคิดไม่ใช่การต่อเรือโนอาห์หนีน้ำท่วมใหญ่ ที่ผมเชื่อว่า… ยังไงๆ ช่วงอายุเราคงไม่เกิดให้เห็น นอกจากเหตุการณ์แบบน้ำท่วมเวนิส อาจจะมีถี่ขึ้นและขยายวงกว้างขึ้น… และผมก็เชื่อว่า มนุษย์คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ นอกจากปรับ
ยิ่งถ้าเราถอยออกมามองภาพระดับ 100 ปี หรือ 1000 ปี… อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น…
คำถามคือ… มนุษย์จะร่วมมือกันอย่างไรกับภัยที่มนุษย์ละเลยจะใส่ใจเพียงร้อยสองร้อยปี แต่อาจจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตมนุษย์เองทั้งหมด
…หรือมนุษย์ควรเป็นสิ่งมีชีวิตเร่รอนในจักวาลที่ต้องค้นหาโลกใหม่ไม่รู้จบ
#FridaysForFuture ครับ!
อ้างอิง