ผู้ทรงคุณวุฒิที่พูด-ทำ-สอน เรื่อง OKRs หรือ Objective and Key Results ที่ “รู้ลึกทำจริงและสอนเป็น” ในบ้านเรามีไม่มาก… ศาสตราจารย์ ดร.นพดล ร่มโพธิ์ เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิไม่กี่ท่านในเมืองไทย ที่สามารถพูด-ทำ-สอน เกี่ยวกับ OKRs ได้เข้าใจไม่ยาก ซึ่งชื่อเสียงของอาจารย์ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากๆ ในปัจจุบัน เป็นดัชนีคุณภาพรับประกันชื่ออาจารย์ได้อย่างดี
โดยส่วนตัวผมติดตามผลงานของอาจารย์ผ่าน Nopadol’s Story หลายช่องทาง โดยเฉพาะ Blog กับ Podcast ซึ่งถือเป็น Microlearning ให้ผมได้เรียนรู้อะไรอีกมาก จนเห็นเพดานกะลาส่วนตัวชัดเจนจนต้องพยายามหาทางออกให้เจอ…
ช่วงเดือนธันวาคมสำหรับคนรับงานอิสระ หรือ Freelance อย่างผมและเพื่อนฝูงบางท่าน ก็มักจะมีลูกค้าเก่าขอปิดงานบ้าง ลูกค้าใหม่ขอช่วยนั่นนี่ให้ทันกรอบเวลาในปีนี้บ้าง… ทำให้ผมนึกถึงบทความเก่าของอาจารย์นพดล ที่ผมเคยอ่านเกี่ยวกับ “ความสำเร็จของงาน” ซึ่งบทความชิ้นนั้นชื่อ วิธีทำงานให้สำเร็จโดยไม่ต้องทำให้เสร็จทุกเรื่อง ซึ่งอาจารย์โพสต์ไว้ตั้งแต่ มกราคม ปี 2018 อ้างอิงทฤษฎี Pareto หรือทฤษฎี 80/20
ประเด็นเป็นแบบนี้ครับ… งานเร่งด่วนหรืองานสำคัญที่ต้องสะสางให้เสร็จ จนหลายท่านทุกข์ร้อนดิ้นรนกันนั้น หลายงานที่ปรึกษาผมเข้ามาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมกว่านั้นอีกก็มาก เพราะหลายงานที่ว่า ได้บรรลุวัตถุประสงค์เบื้องต้นที่วางแผนไว้ไปแล้ว… และหลายงานที่ปรึกษาผมเข้ามา เป็นความพยายามที่จะ เอาทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด โดยเฉพาะ “คนและเวลา” ไปพยายามสะสางวัตถุประสงค์และเป้าหมายหลากหลาย ทำให้เป้าหมายและวัตถุประสงค์เหล่านั้น “ไม่ง่าย” ภายใต้บริบทที่ทรัพยากรสำคัญยังขาดแคลนหรือมีน้อยจนเข้าขั้นขาดแคลน
ในบทความของอาจารย์นพดล แนะนำให้ใช้ P–I Matrix หรือ Probability and Impact Matrix มาช่วยวิเคราะห์ความสำคัญของสิ่งที่ควรทุ่มเททรัพยากร… ซึ่งไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มักจะมีอยู่จำกัดกว่าความต้องการหรือเป้าประสงค์เสมอ… ซึ่ง P–I Matrix ของอาจารย์นพดล จะมีเงื่อนไขในการจัดลำดับความสำคัญอยู่ 4 แบบเท่านั้นคือ
- เราทำได้ดีมาก และ เรื่องนั้นสำคัญมาก… งานส่วนนี้แนะนำให้ทำต่อไป
- เราทำได้ดีมาก แต่เรื่องนั้นไม่ค่อยสำคัญ… งานส่วนนี้แปลว่าใช้เวลามากเกินไป ใช้ทรัพยากรมากเกินไป หรือพูดง่ายๆ ว่าทุ่มเทผิดที่… เมื่อยังไม่สำคัญก็ต้องดึงทรัพยากรออกมาจากตรงนั้นก่อน
- เราทำได้ไม่ดี แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญ… งานที่ทำก็ไม่ได้ดี แถมยังไม่สำคัญด้วย แค่ดึงทรัพยากรออกยังไม่พอครับ ต้องเลิกสนใจไปเลย
- เราทำได้ไม่ดี แต่เรื่องนั้นมันสำคัญมาก… งานส่วนนี้สำคัญมากกับอนาคต และการที่เรายังทำได้ไม่ดีแต่สำคัญกับเรา แปลว่าเราขาดทักษะ… และอะไรที่เป็นทักษะ ก็แปลว่าฝึกได้หรืออย่างน้อยก็ควร “เพียรทำ” จนมันออกมาดี และควรแบ่งปันทรัพยากรจากเรื่องที่ เราทำได้ดีมากแต่ไม่สำคัญ มาใช้กับงานส่วนนี้
ท่านที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนก็คงตัดสินใจ “เลือกทำและเลือกทิ้ง” อะไรได้ไม่ยาก… แต่โดยประสบการณ์ส่วนตัว ที่ผมเจอการเสนอจ้างงานบ้างหรือขอคำชี้แนะหารือทั่วไปบ้าง… ส่วนใหญ่จะมีประเด็นซับซ้อนเกี่ยวพันจนยากที่จะระบุความสำคัญเพื่อ “เลือกทำ หรือ เลือกทิ้ง” ส่วนไหนอย่างไร
งานตีพิมพ์จากการศึกษาความเสี่ยงในการบริหารโครงการจาก National University of Sciences and Technology มหาวิทยาลัยจาก Islamabad ประเทศปากีสถาน นำโดย Muhammad Umer Farooq ได้เสนอให้ใช้ Rationalized PI Matrix เข้าไปจับ Threat หรือ อุปสรรค และ Opportunity หรือโอกาส… เพื่อระบุอุปสรรคของงานในโครงการ ที่ต้องการทรัพยากรมากกว่าปกติ เพื่อข้ามผ่านจนสำเร็จเสร็จสิ้น รวมทั้งเพื่อระบุโอกาสของงานในโครงการ ที่ความสำเร็จเสร็จสิ้นจะให้ผลลัพธ์ตอบคืนได้อย่างดีด้วย… ซึ่งการวิเคราะห์เพื่อให้รู้ว่า ควรจะทุ่มทรัพยากรแค่ไหน ไปกับงานส่วนไหนก่อนหลัง และ ทิ้งงานส่วนไหนโดยไม่กระทบ “ความสำเร็จ” ของงานนั่นเอง
โดยส่วนตัวจะมองตรงนี้เป็น Mindset มากกว่าจะเป็นเทคนิค… ส่วนรายละเอียดการปรับใช้ Rationalized PI Matrix หรือแม้แต่ P–I Matrix แบบไหนๆ ก็ตาม ในทางเทคนิคแล้ว… สำหรับผมในตอนนี้ยังถือว่ารู้พอผิวเผินอยู่เลยครับ ผมมีลิงค์ไปที่งานตีพิมพ์ต้นฉบับบน ResearchGate ไว้ใต้อ้างอิงให้เช่นเดิมสำหรับท่านที่สนใจ รวมทั้ง Google เรียนรู้เพิ่มเติมได้ครับ รายละเอียดมีให้สาวต่อเยอะพอดู
สิ่งที่อยากจะบอกวันนี้คือ… โฟกัสเรื่องที่สำคัญและทำได้ดีตามคำแนะนำของอาจารย์นพดลนั่นแหละครับ แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกอะไรทำบ้างเพราะมันเยอะไปหมด ค่อยมาหาวิธีวิเคราะห์ที่มันละเอียดลึกซึ้งขึ้นกันพลาด
ครับผม!
References…