ระบบขนส่งแบบไร้รอยต่อ หรือ Seamless Transportation ดูเหมือนจะกำลังเป็นที่สนใจในแวดวงการออกแบบ Smart City รวมทั้งผู้ผลิตยานพาหนะทั้งที่ใช้เดินทางหรือขนส่งทางถนน และ การบิน… ซึ่งทุกการคาดการณ์ด้วยฉากทัศน์แห่งอนาคตว่าด้วยการเดินทางและขนส่งนั้น อย่างไรเสียก็ยังมีภาพการเติบโตของเมือง และ ความหนาแน่นของรถบนถนน ซึ่งก่อปัญหาตามมาหลายมิติ โดยเฉพาะในมิติของสิ่งแวดล้อมและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ที่มหานครต่างๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน… สูญเสียไปกับรถติด คนแน่น และ ขนส่งสาธารณะยังเข้าไม่ถึงชีวิตประจำวันที่แท้จริงของคนเมือง
ภาพวิถีชีวิตคนเมืองแบบขึ้นมอเตอร์ไซด์รับจ้าง–มาขึ้นรถเมล์–ไปต่อรถไฟใต้ดิน–ก่อนจะจบด้วยมอเตอร์ไซด์รับจ้าง และ ย้อนบริการการเดินทางอีกครั้งตอนขากลับ… จึงถือเป็น Pain Point หรือ ความลำบากขั้นเจ็บปวดของคนเมือง ซึ่งกลายเป็นจุดขายคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าทั้งบนดินใต้ดินเอาไว้ก่อน แม้จะไปเจอ Pain Point การอยู่อาศัยตามตึกสูงอีกหลายอย่างก็ตาม
อย่างไรก็ตาม… การออกแบบการเดินทางแบบไร้รอยต่อ หรือ Seamless Transportation กำลังจะเข้ามาแก้ปัญหารูปแบบการเดินทางที่ซับซ้อนให้เชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่ง Big Data และ บริการสาธารณะตั้งแต่ Micro Transportation หรือ MicroTrasit แบบที่สามารถเรียก Taxi ไร้คนขับมารับถึงหน้าบ้านแม้จะอยู่ในซอยลึกเปลี่ยว และ พาไปส่งถึงรถเมล์ หรือ รถไฟฟ้าได้ตรงเวลา และ จะมี Taxi อีกคันมารอรับเมื่อลงจากรถไฟฟ้า หรือ รถเมล์ไปส่งต่อโดยไม่ถูกใครโบกมือเรียกรถตัดหน้า หรือ ต้องเข้าคิวรอวินมอเตอร์ไซด์… แต่ถ้าเร่งด่วนกว่านั้นก็สามารถเรียก Drone Taxi มารับและบินตรงปลายทางแบบม้วนเดียวจบก็ได้
การออกแบบบริการระดับ Seamless Transportation จึงมีภาพบริการ Drone Taxi หลายโมเดลกำลังถูกพัฒนาจากทั่วทุกมุมโลก เช่น VoloCopter… Uber Elevate… CityAirbus และ Bell Nexus ซึ่งในอีก 5–10 ปีข้างนี้… ทุกท่านจะได้เห็น Drone Taxi กลายมาเป็นวิถีชีวิตประจำวันของคนส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน
พูดถึง Drone Taxi… ถ้าไม่พูดถึง Italdesign POP.UP NEXT Project โดยผู้ผลิตรถยนต์ Audi และ สำนักออกแบบยานยนต์เก่าแก่ของอิตาลีอย่าง Italdesign และ Airbus… ซึ่งออกแบบยานพาหนะเพื่อใช้งานแบบ Seamless Transportation โดยออกแบบให้ห้องโดยสาร หรือ Capsule สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มขนส่งทางถนนที่เรียกว่า Ground Module ก็จะเดินทางบนถนนแบบรถยนต์ส่วนตัวก็ได้ หรือ จะเชื่อมต่อกับ Air Module หรือ โดรนขนส่งของ Airbus ก็จะกลายร่างเป็น Drone Taxi ได้ทันทีโดยไม่ต้องให้โดรนขนช่วงล่างรถยนต์ไปด้วยให้หนักเปล่าๆ
Ground Module เป็น EV Platform แบบ 4 ล้อ ยาว 3.115 เมตร กว้าง 1.900 เมตร สูง 0.681 เมตร และมีน้ำหนักตัวพร้อมขับ 200 กิโลกรัม มากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยกำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ หรือราว 82 แรงม้า ด้วยแบตเตอรีขนาด 15 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งใช้เวลาชาร์จไฟเพียง 15 นาที และ วิ่งได้ไกลราว 130 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วน Capsule เป็นห้องโดยสารขนาด 2 ที่นั่ง กว้าง 1.540 เมตร ยาว 2.647 เมตร สูง 1.415 เมตร… ซึ่งถือว่ากว้างขวางโอ่โถงสำหรับการโดยสารสองคน
และ Air Module จะเป็นโดรนไฟฟ้าแบบ 2×4 ใบขับ กว้าง 5.0 เมตร ยาว 4.403 เมตร และ สูง 0.847 เมตรใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 กิโลวัตต์ จำนวน 8 ชุด ให้กำลังรวม 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีขนาด 70 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งใช้เวลาในการชาร์จไฟเพียง 15 นาที มีระยะทำการบินไกล 50 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
POP.UP NEXT เปิดตัวในงาน Geneva 2018 ซึ่งการพัฒนาจนถึงปัจจุบันน่าจะคลอดสเปคเหนือกว่าสเปคต้นแบบที่บรรยายไว้มากแล้ว… ถึงตอนนี้ก็คงเหลือเพียงการรอโมเดลสำหรับวางตลาดเชิงพาณิชย์เท่านั้น!
References…