การส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือ Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้พลังงาน การเกษตร การพัฒนาและขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า และการทำลายสิ่งแวดล้อมในรูปแบบอื่นๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งได้ส่งผลกระทบ ต่อการดำรงชีพของมนุษย์ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมในฐานะผู้ผลิต ภาคบริการในฐานะผู้ขับเคลื่อนกิจกรรม… โดยเฉพาะภาคประชาชนในฐานะผู้บริโภค… ที่ควรใส่ใจ สนับสนุนและเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย… ก็จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในกลไกทางการตลาด ให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้า ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความต้องการของผู้บริโภคด้วย
ในต่างประเทศ… มีการริเริ่มคิดค้นการใช้ Carbon Footprint Label หรือ ฉลากคาร์บอน ขึ้นใช้ในหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์เป็นต้น… และกระแสฉลากคาร์บอนกำลังสำคัญอย่างยิ่งกับภาพลักษณ์ของธุรกิจในอนาคตอันใกล้
เครื่องหมาย Carbon Footprint ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น จะเป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัดเมื่อกลายเป็นของเสีย
ฉลาก Carbon Footprint จึงช่วยในการตัดสินใจชื้อของผู้บริโภค และ ผู้ประกอบการควรใส่ใจปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม… ซึ่งการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและตลาดส่งออกอีกด้วย
เนื่องจากขณะนี้ในหลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้กันแล้ว ทั้งในเป็นต้น และ
ซึ่งปัจจุบัน… หลายประเทศอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้… ได้มีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย ต้องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยแล้ว… ผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามหรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับฉลากคาร์บอนได้ที่ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ครับ
#FridaysForFuture ครับ!
อ้างอิง
