สปิริต หรือ Spirit หรือ Spiritual ซึ่งทุกความเชื่อและหลักวิชาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ หรือ Animal อันหมายรวมทั้งมนุษย์อยู่ด้วย โดยมีร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ หรือ Spirit เป็นโครงสร้างหลักของสัตว์ ซึ่งสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชหรือแม้แต่สัตว์เซลล์เดียวจะไม่มีจิตใจและจิตวิญญาณ
องค์ประกอบส่วนที่เป็นรูปร่าง หรือ ร่างกายซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนเป็นสูงดำต่ำอ้วน อันเปรียบเสมือนว่าเป็นฮาร์ดแวร์ หรือ กายหยาบในภาษาเรียกของบางศาสนานั้น จะต้องการจิตใจซึ่งเป็นเหมือนซอฟท์แวร์ที่สัมผัสได้เป็นความโง่ความฉลาดและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งสัมพันธ์ซับซ้อนถึงสมองและสติปัญญากับประสบการณ์ที่เรียนรู้ฝึกฝน… ในขณะที่จิตวิญญาณซึ่งเป็นเหมือนปลั๊กอิน หรือ Plugin ที่มีไว้เพื่อขยายหรือเพิ่มพลังและความสามารถของซอฟท์แวร์อย่างจิตใจให้มีสมรรถนะพิเศษขึ้นไปอีก ตามพื้นฐานของจิตใจ…
จิตวิญญาณ หรือ สปิริต หรือ Spiritual จึงถูกมองว่าเป็นพลังจากภายในซึ่งสัมผัสและตรวจวัดหรือประเมินได้ยาก แต่พลังของจิตวิญญาณโดยทั่วไปมักจะสะท้อนเป็นคุณค่าผ่านจิตใจและร่างกาย ให้เห็นเป็น “ความอดทน อดกลั้นและบากบั่น” ได้เหนือกว่าปกติ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นผ่าน “การควบคุมอารมณ์ความรู้สึกอันมั่นคงอบอุ่นและพึ่งพิงได้” ให้อารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนไหวจากเจ้าของจิตวิญญาณที่สับสนอ่อนแอกว่าได้รับการดูแลได้ด้วย
ประเด็นก็คือ… เราให้อาหารกับร่างกายเพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตต่อด้วยร่างกายที่แข็งแรง และ เราให้ข้อมูลความรู้พร้อมสายสัมพันธ์ที่ดีกับจิตใจเพื่อให้เราได้มีชีวิตต่อไปด้วยอารมณ์อันแจ่มใสที่สุด… แล้วเราให้อะไรกับจิตวิญญาณตอนไหนอย่างไรเพื่อจะได้ใช้ชีวิตต่อด้วยจิตวิญญาณที่ยังเข้มแข็งแกร่งกล้า
ศาสตร์ที่อธิบายถึงจิตวิญญาณหลายความเชื่อและวัฒนธรรม มีความคลุมเครือและไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งขาดทั้งเหตุผลและหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบคำอธิบาย จนเห็นเป็นความเชื่อลอยๆ ที่ทำได้เพียง อยากเชื่อก็เชื่อไป ไม่อยากเชื่อก็แล้วไป… ซึ่งในท้ายที่สุดจึงทำให้ศาสตร์ที่ว่าด้วยจิตวิญญาณจากบางมุมมองและหลักคิด กลายเป็นเรื่องตลกและงมงายก็มี
และนั่นทำให้การพูดถึงเรื่อง “ให้อะไรกับจิตวิญญาณเพื่อใช้ชีวิตต่อ” มีเพียงคนจำนวนน้อยนิดที่เข้าใจพลังและการมีอยู่อย่างสำคัญของจิตวิญญาณในตน ถึงขั้นเรียนรู้จนพบวิธีใส่ใจจิตวิญญาณตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
คำถามคือ… ถ้าให้อะไรกับจิตวิญญาณ แล้วจะได้อะไรจากจิตวิญญาณ?
ตำรามากมายที่พูดถึงจิตวิญญาณและการขัดเกลาบำบัดพลังภายในของมนุษย์ ล้วนพูดถึง “ความสงบภายใน” อันเป็นจิตวิญญาณและรากฐานของอารมณ์อย่างแท้จริง ซึ่ง “จิตวิญญาณที่นิ่งได้มาก” ก็จะเห็นเป็นอารมณ์อันยากที่จะกระเพื่อม ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์และการเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ดีกว่า โดดเดี่ยวและหงอยเหงาน้อยลงกว่ามากจากความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น พบความสุขง่ายขึ้นเพราะจิตใจและอารมณ์มั่นคงอยู่บนสายสัมพันธ์ที่ดี และ เห็นคุณค่าของตนลึกซึ้งไกลกว่าการเข้าใจเพียงความรู้สึกและความต้องการ หรือ Needs โดยธรรมชาติและจิตวิทยาส่วนตัวเพียงตื้นๆ
ประเด็นสำคัญก็คือ… จิตวิญญาณไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า “ความสงบทางจิตวิญญาณ หรือ Spiritual Calming” เพื่อทำให้จิตวิญญาณมีความนิ่งสะสมเอาไว้ “เพื่อหน่วงแรงกระเพื่อมจากอารมณ์ความคิดและความรู้สึก” ซึ่งส่วนใหญ่จะสะเทือนผ่านสายสัมพันธ์แบบต่างๆ ในฐานะสัตว์สังคมของมนุษย์
ถึงตรงนี้… สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อนอื่นก็คือ การมอบความสงบให้จิตวิญญาณเป็นเรื่องเฉพาะคนที่จำเป็นต้องค้นหาให้พบด้วยตนเอง หลายคนแค่ฟังเพลงโปรดซ้ำๆ ก็สุขสงบได้ ในขณะที่หลายคนอาจจะต้องนั่งสมาธิ หรือ ทำวิปัสสนาแบบต่างๆ หรือ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ หรือ ตัดการสื่อสารเชื่อมต่อกับผู้คนและอะไรอีกมาก ซึ่งจะเป็นกิจกรรมแบบไหนก็ได้ที่สามารถนำความสงบส่งถึงภายในและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณให้แข้มแข็งขึ้น หรือ นิ่งให้ได้มากขึ้นจริงก็พอ
อย่าลืม… ระมัดระวังโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสมาธิและวิปัสสนา แบบที่เห็นภาพการเดินแถวสวยๆ ไม่ต่างจากพิธีสวนสนามแบบนักบาช หรือ ภาพการนั่งสมาธิหมู่เหมือนกลุ่มตอผุๆ คลุมผ้า ที่เขาตัดเอาเนื้อไม้ไปทำประโยชน์หมดแล้ว รวมทั้งคำสอนที่อ้างศาสดาแต่มีราคาที่ต้องจ่าย… ซึ่งผุดขึ้นมากมายโดยทำตัวเป็นโค้ชหรือเป็นสถาบันที่อ้างตนเรื่องช่วยเหลือให้ “สัตว์โลกพ้นทุกข์” ที่มาพร้อมโปรแกรมเรี่ยไรและกล่องบริจาค
จิตวิญญาณท่านต้องการเพียงความสงบครับ… ไม่ใช่โค้ชหรือซองผ้าป่า!
References…
- https://chopra.com
- Featured Image: Photo by RF._.studio from Pexels