TEP Whitepaper… สมุดปกขาวว่าด้วยความพยายามปฏิรูปการศึกษาไทยจากภาคีเพื่อการศึกษาไทย #ReDucation

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2566… กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ในฐานะองค์กรสมาชิกภาคีเพื่อการศึกษาไทย หรือ Thailand Education Partnership หรือTEP ร่วมกับหน่วยงานอีกหลายองค์กร ได้จัดเวทีนำเสนอนโยบายเพื่อปฏิรูปการศึกษากับพรรคการเมือง หรือ TEP Policy Forum ภายใต้หัวข้อ “ชวนพรรคร่วมคิด ฟื้นชีวิตเรียนรู้ใหม่ หนุนเด็กไทยก้าวทันโลก” โดยได้นำเสนอสถานการณ์ความท้าทายของระบบการศึกษาไทย และ ข้อเสนอแนะเพื่อเร่งฟื้นฟูการเรียนรู้ที่ถดถอย ไปพร้อมๆ กับการสร้างสมรรถนะให้เด็กไทยก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต่อตัวแทน 8 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย… พรรคก้าวไกล… พรรคไทยสร้างไทย… พรรคประชาธิปัตย์… พรรคชาติพัฒนากล้า… พรรคภูมิใจไทย… พรรคชาติไทยพัฒนา และ พรรคเสรีรวมไทย ที่เข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่ปรึกษาภาคีเพื่อการศึกษาไทย และ อดีตประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ได้พยายามแก้ไขปัญหาภาพรวมโดยดำเนินงาน 5 Big Rock คือ…

  1. การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย
  2. การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 
  3. การปฏิรูปกลไกและระบบผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน
  4. การจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีและระบบอื่นๆ ที่เน้นการฝึกปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบนำไปสู่การจ้างงานและการสร้างงาน
  5. การปฏิรูปบทบาททางการวิจัยและระบบธรรมาภิบาลของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ได้กล่าวในวาระนี้ไว้บางตอนว่า… ที่ผ่านมา Big Rock ที่ 1 การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด โดยมีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา  ที่เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหา สามารถให้ทุนสำหรับเด็กเปราะบาง ยากจน เป็นความช่วยเหลือที่จำเป็น และ ทำได้ทันที ในส่วน Big Rock อื่นๆ ยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาในภาพใหญ่ และ ที่ผ่านมาสถานการณ์โควิด–19 ก็มีผลอย่างมากในการสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ด้าน ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และ ตัวแทนภาคีเพื่อการศึกษาไทย… ซึ่งได้นำเสนอ TEP Whitepaper หรือ สมุดปกขาวที่มีการสรุปปัญหาโดยถอดบทเรียนจากความพยายามปฏิรูปที่ผ่านมา… ทั้งปัญหาคุณภาพของระบบการศึกษาโดยรวมที่อยู่ในระดับต่ำ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในระดับสูง และ การขาดประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากร ในขณะที่ความท้าทายยิ่งมีมากขึ้นจากความถดถอยของการเรียนรู้ในช่วงโควิด–19 ระบาด ความท้าทายใหม่แห่งโลกอนาคตที่เทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเร็วกว่าเดิม โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ความสามารถในการปรับตัวได้ หรือ Adaptability และ ทักษะการคิดขั้นสูง หรือ Higher-Order Thinking มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ได้นำเสนอความท้าทาย 4 ประการในการปฏิรูประบบการศึกษาไทยบนเวทีนี้โดยสังเขปดังนี้…

  1. การปรับหลักสูตรแกนกลางครั้งใหญ่ให้เอื้อต่อการเรียนรู้สมรรถนะ ซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถูกใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 หรือ ผ่านมาแล้วเกือบ 15 ปี จึงค่อนข้างล้าสมัย และ ไม่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้สมรรถนะที่จำเป็นต่างๆ  
  2. การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กและบุคลากรครูเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เนื่องจากการฟื้นฟูการเรียนรู้ที่ถดถอยและการสร้างสมรรถนะใหม่ จำเป็นต้องมีทรัพยากร ทั้งงบประมาณและบุคลากรครูที่เพียงพอทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพ ในช่วงที่ผ่านมาจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่ประชากรวัยเรียนมีแนวโน้มลดลง โดยได้อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยของ กสศ. ร่วมกับธนาคารโลก และ สพฐ. เรื่อง “การกรอบมาตรฐานขั้นพื้นฐานในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพของโรงเรียน หรือ Fundamental School Quality Levels หรือ FSQL เพื่อลดช่องว่างของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระหว่างโรงเรียน แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร” ซึ่งพบว่า… นักเรียนในสังกัด สพฐ. ลดลงจาก 7.2 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2556 เหลือ 6.5 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2565 ทำให้โรงเรียนในสังกัด สพฐ. จำนวน 21,341 แห่ง จากทั้งหมด 30,764 แห่ง มีนักเรียนลดลง คิดเป็นร้อยละ 69.4 และ มีโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขั้นอีก 2,246 แห่ง… การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยในการจัดการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการบริหารบุคลากรทั้งส่วนกลาง เขตพื้นที่และโรงเรียน ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ในการจัดการศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน ส่วนในด้านบุคลากรครู จากข้อมูลข้าราชการครูปี 2565 พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ 15,802 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 55.3 มีครูไม่ครบตามเกณฑ์ และ ที่เหลืออีก 5,498 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 15.7 มีจำนวนครูเกินเกณฑ์ที่กำหนด
  3. การป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน เนื่องจากการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียนและการกลั่นแกล้ง ไม่เพียงส่งผลทำให้โรงเรียนมีบรรยากาศเลวร้ายลง แต่ยังส่งผลในด้านลบต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานของเด็ก เช่น นักเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งมีคะแนนการอ่านเฉลี่ยน้อยกว่าถึง 27 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มนักเรียนที่ไม่ถูกกลั่นแกล้ง นอกจากนี้ การละเมิดสิทธิเสรีภาพและการกลั่นแกล้งยังอาจส่งผลต่อทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียน
  4. การปรับวัฒนธรรมการทำงานให้กล้าทำสิ่งใหม่ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลได้ประกาศให้มี “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” เพื่อเป็นพื้นที่ทดลองนำร่องให้โรงเรียนและหน่วยงานในพื้นที่มีอิสระในการจัดการการศึกษามากขึ้น โดยปลดล็อกด้านกฎระเบียบต่างๆ ทั้งในด้านวิชาการ การบริหารบุคลากร และ การบริหารงบประมาณ ซึ่งพบว่าทำให้เกิดความตื่นตัวของภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ ในการเข้ามาร่วมจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับพื้นที่ของตน และเห็นสัญญาณด้านบวกจากการที่ผู้อำนวยการและครูเข้าใจบทบาทและความต้องการในการพัฒนาทักษะของตนมากขึ้น และนักเรียนมีความสุขในการเรียนรู้มากขึ้น จนทำให้มีจังหวัดต่างๆ มาเข้าร่วมในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาแล้วถึง 19 จังหวัด อย่างไรก็ตาม การทบทวนบทเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาพบว่า มีพื้นที่และโรงเรียนบางส่วนที่ยังไม่กล้าใช้ประโยชน์จากความเป็นอิสระที่ได้รับ เช่น โรงเรียนบางแห่งยังไม่กล้าปฏิเสธโครงการที่ไม่ตรงกับเป้าหมายการเรียนรู้ตามหลักสูตรใหม่ของตน ไม่กล้าซื้อหนังสือเรียนนอกบัญชีของ สพฐ. เพื่อจัดการสอนตามหลักสูตรใหม่ และไม่กล้าคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษาโดยวิธีทาบทาม ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนมีผู้อำนวยการที่มีคุณลักษณะที่โรงเรียนต้องการ เป็นต้น

ส่วนข้อเสนอแนะต่อพรรคการเมือง และ รัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ เพื่อก้าวข้ามความท้าทายในการปฏิรูปทางการศึกษาจาก TEP Whitepaper โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ มี 5 ข้อเสนอดังนี้ 

  1. ควรเร่งปรับให้มีหลักสูตรแกนกลางใหม่ภายใน 3 ปี… โดยออกแบบให้เป็นหลักสูตรที่อิงกับฐานสมรรถนะ จากการเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนา และไม่ยอมให้กลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มสามารถยับยั้งการปรับหลักสูตรได้ การจัดทำหลักสูตรแกนกลางใหม่อาจทำได้โดยการนำเอาร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะที่มีการพัฒนามาก่อนหน้านี้มาปรับใช้ และทดลองนำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งอนุญาตให้โรงเรียนนำร่องสามารถใช้หลักสูตรที่แตกต่างจากหลักสูตรแกนกลางที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้  ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการควรใช้ “คูปองครู” เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะของครูให้สามารถนำหลักสูตรใหม่ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถออกแบบการจัดประสบการณ์เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการลงมือทำจริง ให้พ่อแม่ผู้ปกครองหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ และให้นักเรียนร่วมตัดสินใจกับการเรียนรู้ของตนเอง ตลอดจนสามารถประเมินเพื่อพัฒนา หรือ Formative Assessment ได้ 
  2. กำหนดนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการมีเป้าหมายและแผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่ชัดเจน… โดยอาจนำข้อเสนอของธนาคารโลกร่วม กับ กสศ. เป็นจุดตั้งต้น และ เสริมด้วยการให้แรงจูงใจแก่ครูในการย้ายไปสอนในโรงเรียนฮับ หรือ Hub School หรือ โรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล หรือ Small Protected School พิจารณาปรับเกณฑ์การประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือวิทยฐานะของครู ตลอดจนยินยอมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำที่ดินหรือทรัพย์สินของโรงเรียนที่ถูกยุบหรือควบรวมไปใช้ประโยชน์ตามความต้องการของชุมชน
  3. กำหนดนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการและประสานหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษาอื่น… ให้ทบทวนและยกเลิกโครงการต่าง ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งไม่ตอบโจทย์การเรียนรู้ของนักเรียนหรือการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการสอนของครูตามหลักสูตรใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ควรเปิดให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้อำนวยการสถานศึกษาและครูเข้ามาร่วมตัดสินใจ หลังจากนั้นควรจัดสรรงบประมาณที่ได้มาจากการทบทวนและยกเลิกโครงการต่าง ๆ เหล่านั้นอีกครั้งให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ตามหลักสูตรใหม่ 
  4. ประกาศนโยบายไม่ยอมรับความรุนแรงในสถานศึกษาในทันทีที่รับตำแหน่ง และ รณรงค์ให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพของเด็ก โดยตระหนักถึงผลเสียจากการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพต่อพัฒนาการของเด็ก และให้เด็กทราบแนวทางปกป้องตนเองหากมีการละเมิด ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการสามารถบูรณาการมาตรการที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกัน เช่น โครงการสถานศึกษาปลอดภัย และ ศูนย์บริการประชาชน (กระทรวงศึกษาธิการ) เป็นต้น เสริมด้วยกลไกเพิ่มเติม เช่น ระบบการร้องเรียนที่ไม่เปิดเผยตัวตนผู้ร้อง ระบบการตรวจสอบเหตุ ระบบการส่งต่อไปยังหน่วยงานอื่นในกรณีไม่สามารถแก้ปัญหาได้ภายในโรงเรียน และกำหนดให้ความปลอดภัยในโรงเรียนเป็นหนึ่งในเกณฑ์การประเมินภายนอกของสถานศึกษา
  5. สร้างตัวอย่างให้ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการมีวัฒนธรรมแบบใหม่ในการทำงาน ที่เปิดกว้างในการรับฟังความเห็น กล้าทดลองสิ่งใหม่ ไม่สั่งการจากเบื้องบนลงไปโดยไม่เข้าใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโรงเรียน… โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอาจแสดงตัวอย่างโดยการไปรับฟังสภาพปัญหาของโรงเรียน ให้กำลังใจและสนับสนุนการดำเนินการของโรงเรียน และอาจจัดให้มีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่นวัตกรรมของครู จัดช่องทางประชาสัมพันธ์ให้สังคมรับรู้เมื่อครูกล้าทดลองสิ่งใหม่เพื่อพัฒนาสมรรถนะของเด็ก และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด โดยไม่นำความผิดพลาดมาลงโทษ หากไม่ใช่กรณีที่ร้ายแรง

ส่วนข้อมูลบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของตัวแทนพรรคการเมือง และ ภาคีที่เข้าร่วมในวันนั้น… ท่านที่สนใจสามารถติดตามได้จากเวบไซต์ของ กศส. หรือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา… คลิกที่นี่ครับ 

ตัวแทนพรรคการเมือง
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่ปรึกษาภาคีเพื่อการศึกษาไทย
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และ ตัวแทนภาคีเพื่อการศึกษาไทย
Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest
Tumblr

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts