อารมณ์และความรู้สึกเกลียดชังที่ใครคนหนึ่งมีต่อคนๆ หนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง… โดยเนื้อแท้ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และถือว่ามีไว้เพื่อปกป้องสวัสดิภาพตัวเองเป็นพื้น… นั่นแปลว่า โดยอารมณ์ความรู้สึกขั้นเกลียดชังที่ประกอบด้วยความโกรธ หรือ Angry และความไม่พึงใจ หรือ Resentful เป็นปฐมเหตุนั้น… ถ้าตัดตอนพิจารณาเฉพาะส่วนที่เรียกว่าเกลียดชังล้วนๆ ก็ไม่เห็นผลเสียอะไรที่จะเกิดกับวงกว้างเกินกว่า “ใจตน และ ปัญญาตน” เพียงลำพัง
แต่ด้วยเหตุที่ความเกลียดชังส่วนใหญ่ หรือ ทั้งหมด… ล้วนถูกกระตุ้นโดยปัจจัยภายนอกจนเกิดความไม่พึงพอใจ กลายเป็นโกรธ และ ก่อเป็นเกลียดชังปัจจัยภายนอกเหล่านั้นตามลำดับ ซึ่งปฏิกิริยาที่คนถูกกระตุ้นจนอยู่ในอารมณ์ไม่พึงพอใจไปจนถึงโกรธและเกลียดได้… จึงมักจะถูกจู่โจมจากปัจจัยภายนอกในแบบที่ไม่พอใจซ้ำหลายครั้งจนโกรธ และถูกจู่โจมจากปัจจัยภายนอกในแบบที่ทำให้โกรธซ้ำอีกหลายครั้ง… จนเกลียดชัง
ความเกลียดชังจึงมักจะตอบโต้ปัจจัยภายนอกทั้งหมดเหล่านั้นด้วยปฏิกิริยาการปกป้องสวัสดิภาพตัวเอง เพื่อสร้างสมดุลย์อารมณ์ ให้กลับไป หรือ หวังจะให้กลับไปในทางตรงกันข้ามกับความเกลียดชัง… ซึ่งก็คือความชอบ ความรักและความเมตตา… ถึงแม้ส่วนใหญ่จะไปไม่ถึงความชอบด้วยซ้ำ แต่ความเกลียดชังก็ได้ลดลงไปมากเมื่อได้ “สะท้อนความเกลียดชัง เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ หรือ ต่อต้านออกไป”
ความเกลียดชังที่สัมพันธ์กับสัญชาตญาณในระดับสวัสดิภาพของมนุษย์ จึงมักจะแสดงปฏิกิริยา “ต่อต้านออกไปได้เกินคาด” ให้เห็นเสมอ จนกลายเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในการอยู่ร่วมกันเป็นสัตว์สังคมของมนุษยชาติ
Sigmund Freud อธิบายประเด็นเกลียดชังไว้ว่า… ความเกลียดชังเป็นสถานะของอัตตา หรือ Ego State ที่ต้องการตอบโต้ หรือ ทำลายสาเหตุแห่งความไม่สุข ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ Self-preservation Psychology หรือ พฤติกรรมเพื่อปกป้องความอยู่รอดปลอดภัยให้ตนเอง
ส่วนในแนวคิด Object Relations Theory ของ Donald Winnicott จะมองความเกลียดชังผ่านความสัมพันธ์กับปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นความเกลียดชัง ซึ่งการทำจิตบำบัดในประเด็นเกลียดชังของ Donald Winnicott จึงทำผ่านการร่วมวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก เทียบกับการทำลายล้าง หรือ ตอบโต้ หรือให้เปลี่ยนไปตอบโต้ด้วยคุณค่าเชิงบวก เพื่อให้ความเกลียดชังที่ยังมีอยู่เสมอ กลายเป็นสัญลักษณ์เชิงอารยธรรมแทน
ปี 2016… Colin Kaepernick นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลทีม San Francisco 49ers คุกเข่าลงในขณะที่คนอื่นๆ ทั้งสนามยืนขึ้นร้องเพลง The Star Spangled Banner หรือ เพลงชาติอเมริกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนการแข่งขันตามธรรมเนียม… ซึ่ง Colin Kaepernick อธิบายในภายหลังว่า เขาทำเหมือนไม่เคารพอเมริกาที่รักของเขาแบบนั้น ก็เพื่อต่อต้านความเกลียดชังที่มีต่อคนผิวสีในอเมริกา… ซึ่งโดยส่วนตัวมองกรณีนี้เป็นแนวทางสันติอหิงสา ในแบบที่ มหาตมะ คานธี ทำ Salt March หรือ Salt Satyagraha หรือ เดินสัตยาเคราะห์เกลือ ด้วยการเดินเท้าเป็นระยะทาง 390 กิโลเมตร ตอบโต้ความเกลียดชังและเอารัดเอาเปรียบเสมอทาสของเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษในสมัยนั้น… ที่รีดนาทาเร้นเก็บภาษีแม้แต่เกลือในธรรมชาติที่จำเป็นกับชีวิต
ประเด็นก็คือ… ความเกลียดชังมีอยู่ทุกที่ที่มีคน และเป็นส่วนหนึ่งของคนทุกคนไม่ต่างจากกลิ่นตัวที่มีอยู่เสมอ จนต้องอาบน้ำชำระล้างเป็นประจำ และ ยังต้องรู้จักใช้เครื่องสำอางค์หรือของหอมมาปรุงแต่งเพิ่ม… โดยส่วนตัวจึงมองอารมณ์เกลียดชังเหมือนกลิ่นตัวที่ต้อง “หมั่นชำระล้าง” เพื่อไม่ให้ “ความไม่พึงพอใจ” พอกพูนกลายเป็นความเกลียดชังเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จนกลิ่นกายกลายเป็นเหตุให้ถูกเกลียดชังรังเกียจจากคนส่วนใหญ่หรือทั้งหมด
ส่วนประเด็นการใช้ความเกลียดชังเป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ เพื่อทำลายอุปสรรคที่ขัดขวางเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะต้องแลกด้วยความวุ่นวาย หรือ เลยเถิดไปถึงขั้นกลายเป็นสงครามนั้น… ดูเหมือนจะยังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ “ปั่นหัว” คนส่วนหนึ่ง ที่มีความไม่พึงพอใจเป็นเชื้ออยู่เดิม ให้คิดและให้รู้สึกถึงขั้นเกิดอารมณ์เกลียดชังจนกลายเป็นเครื่องมือของ “นักกลยุทธ์” ที่ใช้ศาสตร์มืด หรือ ด้านมืดในจิตใจคนมาเป็นเครื่องมือ
คำถามคือ… ท่านเคยกลายเป็นเครื่องมือของใคร เพราะถูกเขากระตุ้นความไม่พอใจในตัวท่านได้ จนกลายเป็นความเกลียด และ ทำหลายอย่างรับใช้ความเกลียดเหล่านั้นโดยไม่ไตร่ตรองหรือไม่?
References…